2025-02-18 HaiPress
"พิชัย" สั่งประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติฯ 20 ก.พ.นี้ ก่อนชง "นบข." พิจารณามาตรการช่วยเหลือชาวนาเร่งด่วน คู่ขนานกับเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือก 8 จังหวัด เริ่มที่พระนครศรีอยุธยา 16-20 ก.พ.68 เพื่อดึงราคาข้าวเปลือกเพิ่มขึ้น 100-200 บาท/ตัน
เมื่อวันที่ 17 ก.พ.68 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ สั่งการให้กรมการค้าภายใน เร่งจัดประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด ซึ่งตนเป็นประธาน และมีหน่วยงานภาครัฐของกระทรวงเกษตรฯ และพาณิชย์ รวมทั้งภาคเอกชน เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาข้าวนาปรัง ที่ได้รับผลกระทบด้านราคาข้าวขาวในตลาดโลก ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธาน
นายพิชัย ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการออกมาตรการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบทางด้านราคาด้วยเหตุจากสถานการณ์ที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าว ประกอบกับการที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ลดการนำเข้าข้าวด้วย ทำให้ข้าวไทยได้รับผลกระทบดังกล่าว โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือ โดยผมสั่งการให้กรมการค้าภายในในฐานะฝ่ายเลขาฯ คณะอนุกรรมการข้าวด้านการตลาด เร่งจัดประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการตลาด ที่ตนเป็นประธาน เพื่อเสนอมาตรการช่วยเหลือพี่น้องชาวนา ก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ นบข. พิจารณาเพื่อให้ได้ข้อสรุปให้พี่น้องเกษตรกรโดยเร็วที่สุด
ขณะเดียวกัน ตนได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน ดำเนินการคู่ขนานทันทีในการจัดตลาดนัดข้าวเปลือกปีการผลิต 2567/68 ตั้งแต่ ก.พ.-เม.ย.68 เรามีแผนที่จะจัดตลาดนัดข้าวเปลือกอีก 14 ครั้ง เพื่อดึงราคาข้าวเปลือกให้สูงขึ้น ในพื้นที่เป้าหมาย 8 จังหวัด คือ อ่างทอง สุรินทร์ สิงห์บุรี พิษณุโลก สุโขทัย พระนครศรีอยุธยา อุบลราชธานี และนครราชสีมา ตั้งเป้าว่าโครงการตลาดนัดข้าวเปลือกจะช่วยดันราคาขายข้าวของเกษตรกรให้ปรับเพิ่มขึ้นได้ 100-200 บาท/ตัน โดยพระนครศรีอยุธยาจะจัดตลาดนัดครั้งที่ 1 วันที่ 16-20 ก.พ.68
การจัดตลาดนัดข้าวเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดการแข่งขัน ช่วยให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้น เป็นการเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกร และสร้างอำนาจต่อรองในการกระจายข้าวเปลือกมากขึ้น โดยได้สั่งการให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เร่งดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งข้าวนาปรังทยอยออกสู่ตลาด และจะได้ประสานชาวนาในแต่ละพื้นที่ เพื่อร่วมกันวางแผนกำหนดจุดจัดตลาดนัดข้าวเปลือกให้ตรงกับปริมาณผลผลิตที่ออก และช่วงเวลา ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
ทางด้านนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า เห็นใจและเข้าใจถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรเป็นอย่างมาก ที่ต้องประสบกับปัญหาเรื่องราคาข้าวเปลือกเจ้าตกต่ำลดลงจากสถานการณ์ตลาด แต่ก็ไม่สบายใจ ไม่เห็นด้วยที่พี่น้องเกษตรกรจะมาประท้วงโดยการปิดถนนเพื่อกดดันภาครัฐ เพราะจะทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ส่วนรวม โดยเรื่องนี้ต้องระมัดระวัง โดยสมาคมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น ได้มีการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องถึงความเดือดร้อน และแนวทางแก้ไขเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ สมาคมฯ ได้ผลักดันให้มีการเสนอมาตรการผ่านทางคณะกรรมการแล้ว โดยวันที่ 17 ก.พ.68 ทางสมาคมฯ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล รมว.พาณิชย์ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้มีการเร่งหาวิธีแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
สำหรับเรื่องปัญหา ฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการเผา ที่ภาครัฐมีมาตรการเข้มงวด ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการบริหารจัดการแปลงนาเพิ่มขึ้นไร่ละประมาณ 500 บาท ได้เสนอให้ภาครัฐได้ช่วยเหลือเช่นกัน ในคราวเดียวกัน ในเบื้องต้นทางกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แจ้งว่าจะมีการประชุมอนุตลาด นบข. เพื่อพิจารณาปัญหาดังกล่าวในวันที่ 20 ก.พ.นี้ รวมถึงจะมีมาตรการให้จัดตลาดนัดข้าวเปลือกในจังหวัดที่มีปัญหา
สำหรับสถานการณ์ข้าวเปลือกเจ้านาปรัง ปี 2567/68 คาดว่าจะมีปริมาณรวม 6.53 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้น 1.08 ล้านตันข้าวเปลือก หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปีก่อนที่มีปริมาณอยู่ที่ 5.45 ล้านตันข้าวเปลือก ส่วนด้านผลผลิตเริ่มทยอยออกสู่ตลาดแล้วในเดือน ก.พ. 68 โดยจะออกกระจุกตัวช่วง มี.ค.-เม.ย. 68 ประมาณ 68% หรือ 4.42 ล้านตัน สำหรับราคาข้าวเปลือกเจ้า ณ วันที่ 14 ก.พ. 68 อยู่ที่ 8,300–9,000 บาท/ตัน (เฉลี่ยอยู่ที่ 8,650 บาท/ตัน ปรับลดลงเทียบกับ ปีก่อนที่ 12,500 บาท/ตัน หรือลดลง 30%)
ทั้งนี้ ราคาปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ก.ย. 67 เป็นต้นมา เนื่องจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวตามปกติ รวมทั้งอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มีแนวโน้มนำเข้าลดลงจากการเก็บสต๊อกที่เพียงพอแล้ว ทำให้ความต้องการนำเข้าข้าวขาวจากไทยชะลอตัว จึงได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับราคาในปี 2565 ช่วงก่อนที่อินเดียจะงดการส่งออกข้าว
ส่วนสถานการณ์ราคาปัจจุบัน (14 ก.พ. 68) ของข้าวชนิดอื่นๆ ยังคงทรงตัว แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิ เฉลี่ย 16,000 บาท/ตัน ปรับเพิ่มขึ้นจาก 14,850 บาท/ตัน (เพิ่มขึ้น 8%) ข้าวเปลือกเหนียว เฉลี่ย 13,250 บาท/ตัน ปรับลดลงจาก 13,300 บาท/ตัน (ลดลง 0.4%) ข้าวเปลือกปทุมธานี เฉลี่ย 12,100 บาท/ตัน ปรับลดลงจาก 14,400 บาท/ตัน (ลดลง 16%) และข้าวเปลือกเจ้า เฉลี่ย 8,700 บาท/ตัน ปรับลดลงจาก 12,500 บาท/ตัน (ลดลง 30%)
คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา