คนไทยกระเทือนแค่ไหน? เมื่อสินค้าสหรัฐ 10,000 รายการไม่มีภาษี

2025-08-07 HaiPress

เริ่มยกแรกไปแล้วกับมาตรการภาษีตอบโต้ 19% จากประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" โดยสินค้าที่เริ่มส่งออกไปยังสหรัฐ หลังวันที่ 7 ส.ค.นี้เป็นต้นไป ก็จะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 19% ขณะที่ไทยต้องยอมแลกด้วยการเปิดเสรีสินค้าในอัตราภาษี ที่ 0% ให้กับสินค้าสหรัฐกว่า 10,000 รายการ

แล้ว!! ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จะได้รับผลกระทบกันอย่างไร? ทีม “เศรษฐกิจ เดลินิวส์” พาไปสแกนให้เห็นกันชัด ๆ

การเปิดเสรีสินค้ากว่า 10,000 รายการ แยกเป็น

กลุ่มแรก… กว่า 6,000 รายการ หรือประมาณ 60% เป็นสินค้าที่ไทยเปิดเสรีให้สหรัฐ 0% อยู่แล้ว และส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยเปิดเอฟทีเอให้กับประเทศอื่น ทั้งจีน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ผักผลไม้ สินค้าเกษตรบางรายการ เป็นต้น

กลุ่มที่สอง…กว่า 2,000 รายการ  หรือประมาณ 20% เป็นสินค้าที่ไทยเปิดภาษี 0% เพิ่มเติมให้สหรัฐ แต่เป็นสินค้าที่ไทยไม่ได้รับผลกระทบ หรือเป็นสินค้าที่สหรัฐ แทบไม่มีโอกาสส่งออกมาไทย เช่น ปลานิล ลำไย รถฮาร์เลย์ เดวิดสัน เป็นต้น

กลุ่มที่สาม… สินค้าที่ไทยจะเปิดเสรีให้กับสหรัฐ แต่เป็นแบบมีเงื่อนไข ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อกำหนดเงื่อนไข โดยมีสินค้าที่ไทยผลิตอยู่และอาจต้องอาศัยเวลาปรับตัว เช่น

ตัวอย่างสินค้าที่เปิดเพิ่ม

เนื้อหมู อาจมีกำหนดโควตา 10,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็น 1% ของการบริโภคในประเทศ พร้อมกับกำหนดเงื่อนไข เช่น ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง การห้ามนำเข้าเครื่องใน

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไทยมีความต้องการนำเข้า 3.5-4 ล้านตันต่อปี อาจจำกัดโควตาเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาในประเทศ

กากถั่วเหลือง ไทยมีความต้องการนำเข้า 3.5 ล้านตันต่อปี อาจจำกัดโควตาเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาในประเทศ

หมายเหตุ… ในกลุ่มนี้อาจมีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม เพื่อปกป้องเกษตรกร และผู้ผลิต เอสเอ็มอี แต่ต้องรอฟังผลการหารือเกณฑ์ โลคอล คอนเทนท์ และกฎอาร์วีซี ที่เกี่ยวกับถิ่นกำเนิดสินค้าที่กำลังเจรจาและประกาศออกมาภายหลัง

ต้องยอมรับว่า…ดีลภาษีตอบโต้ในครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ทั้งในส่วนของผู้ส่งออก ทั้งผู้ผลิตในประเทศ เกษตรกร หรือแม้แต่บรรดาผู้บริโภคชาวไทยเอง

@ ภาคการเกษตร

ข้าวหอมมะลิ ผู้ส่งออกข้าวยังต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นต่อไป เนื่องจากไทยส่งออกข้าวมะลิไปสหรัฐ 6 แสนตัน แม้จะมีภาษีใกล้กับอาเซียน แต่ขณะนี้เวียดนามขายข้าวถูกกว่าไทย โดยขายเพียง 600-700 ดอลลาร์ต่อตัน ส่วนไทยตั้งราคาขาย 900-1,200 ดอลลาร์ต่อตัน

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ชาวไร่ข้าวโพดในประเทศ โดยเฉพาะชาวไร่บนพื้นที่ภูเขา อาจต้องปรับเปลี่ยนอาชีพ เพราะได้รับผลกระทบจากราคาที่ถูกลงจากสหรัฐ แม้ว่าปัจจุบันปริมาณปลูกข้าวโพดในไทยยังไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศก็ตาม

ถั่วเหลือง ชาวไร่ถั่วเหลืองอาจได้รับผลกระทบจากการแข่งขันราคาที่ถูกลง เพราะสินค้าที่นำเข้ามาจากสหรัฐ จะไม่มีภาษี

เนื้อหมู อุตสาหกรรมเนื้อหมูในไทยมีมูลค่ามากถึง 1.5 แสนล้านบาท หากเปิดให้สหรัฐนำเข้ามา บรรดาเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูย่อมได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะต้นทุนหมูสหรัฐต่ำกว่าไทยมาก โดยมีต้นทุนประมาณ กก.ละ 55-60 บาท ขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงหมูในไทยสูงถึงกก.ละ  75 บาท

ธุรกิจอาหารแปรรูป ผู้ผลิตอาหารแปรรูป เช่น กุ้ง และปลาทูน่า ที่พึ่่งพาการส่งออกตลาดสหรัฐถึง 39% หากถูกเก็บภาษี 19% จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นแน่ ก็จะสูญเสียโอกาสทางการแข่งขัน

ผลิตภัณฑ์ยางไทย ต้องแข่งสูง เพราะพึ่งตลาดสหรัฐ 31.6% โดยมีมาเลเซียเป็นคู่แข่งสำคัญ

@ ภาคอุตสาหกรรม

คอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ : มีความเสี่ยงถูกเก็บภาษีมากถึง 40% เพราะเป็นสินค้าที่ไทยมีโลคอล คอนเทนท์ในประเทศต่ำ  พึ่งการนำเข้าสูง

ยานยนต์และชิ้นส่วน: อุตสาหกรรมนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง เนื่องจากไทยมีการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนไปยังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ที่สำคัญยังมีการใช้โลคอล คอนเทนท์ต่ำ

เครื่องจักรกลและชิ้นส่วน: ทั้งเครื่องจักรกลสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตและเครื่องจักรกลการเกษตร

อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า: โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ

เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก รวมถึงอลูมิเนียม : สินค้าเหล็กจากจีนมีราคาถูกกว่ามาก ทำให้ผู้ผลิตในไทยต้องเสียเปรียบอย่างหนัก อีกทั้งยังเป็นสินค้าพิเศษที่สหรัฐเก็บภาษีเพิ่มเติมจากทั่วโลก

พลาสติกและเคมีภัณฑ์: เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จีนมีกำลังการผลิตสูงและสามารถส่งออกในราคาต่ำ

เฟอร์นิเจอร์: สินค้าเฟอร์นิเจอร์จากจีนมีราคาถูกและหลากหลาย ทำให้เป็นที่นิยมของผู้บริโภค

สิ่งทอและเสื้อผ้า: สินค้าจากจีนมีราคาถูกกว่า ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อแข่งขัน

ผลกระทบเอสเอ็มอี

ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 2 ล้านราย ซึ่งส่วนใหญ่มีการค้าขายกับสหรัฐผ่านอีคอมเมิร์ซ เช่น กลุ่มสินค้าแม่และเด็ก เสื้อผ้า ได้รับผลกระทบ เนื่องจากถูกเก็บภาษีเดอ มินิมิส เพิ่มเติมจากสหรัฐ จากเดิมได้รับการยกเว้นสำหรับสินค้าราคาไม่เกิน  800 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตามดีลภาษีตอบโต้ ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องของการเสียเปรียบหรือเสียประโยชน์ เพราะยังมีโอกาสที่ดีให้กับผู้บริโภคชาวไทยเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน

ประโยชน์ที่ไทยได้รับ

ภาษีที่ 19% ทำให้ไทยแข่งขันได้กับประเทศอื่น ช่วยรักษาสถานะภาพการส่งออก การลงทุน และการจ้างงานไว้

ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้เมืองหนาว จากสหรัฐฯ เพราะจะเสียภาษี 0%

ต้นทุนการเลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่ หมู วัว ลดลง โดยประมาณการผลจากการลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ 6 ชนิด เช่น ข้าวโพด กากถั่ว ทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงไป 12,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องถูกผลักภาระถึง 9 พันกว่าล้านบาท  

ผู้ผลิตอาหารสัตว์ได้ประโยชน์ในต้นทุนการผลิตที่ถูกลง และสามารถผลิตเพื่อส่งออกได้เพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตามแม้จะมีการประกาศอัตราภาษี19% แล้ว แต่ยังไม่มีการสรุปข้อกำหนดสัดส่วนมูลค่าเพิ่มในภูมิภาค หรือ Regional Value Content (RVC) ที่ชัดเจนสำหรับการแก้ปัญหาสินค้าสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้า แม้เบื้องต้นอาจใช้เกณฑ์ทั่วไปที่กำหนดสัดส่วน Local content ประมาณ 40% ไปก่อน แต่ทีมไทยแลนด์ยังต้องเร่งเจรจากับสหรัฐให้ตกลงกันให้ได้โดยเร็ว เพราะไม่เช่นนั้นคลื่นระลอกที่ 2 กับภาษีสวมสิทธิ์ ออนท็อป ที่ 40% ก็ยังกลายเป็นลูกดอกลูกที่ 2 ที่ทำให้เอกชนไทยยังทำใจไม่ได้!!

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา

ติดต่อเรา

©ลิขสิทธิ์ 2009-2020 เครือข่ายการศึกษาไทย    ติดต่อเรา  SiteMap